นักวิจัยขีปนาวุธชาวเกาหลีเหนือ คว้าเก้าอี้ สส. ในเกาหลีใต้ปาร์ค ชุง ควอน (คนกลาง) วัย 37 ปี เดินทางไปเกาหลีใต้ในปี 2009 หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่เขาทำงานเกี่ยวกับการสร้างขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
ฟรานซ์ เหมา และ ซังมิน ฮัน
บีบีซีนิวส์
15 เมษายน 2024
สมัยยังหนุ่ม ปาร์ค ชุง ควอน ช่วยพัฒนาขีปนาวุธให้กับเกาหลีเหนือซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา เพื่อนำไปใช้ยิงข่มขู่ชาติตะวันตก แต่ตอนนี้ เขากำลังนั่งอยู่ในสภานิติบัญญัติของเพื่อนบ้านฝั่งประชาธิปไตย ในฐานะสมาชิกผู้แทนราษฎร (สส.) ของเกาหลีใต้ เมื่อสามารถคว้าชัยการเลือกตั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้
เมื่อผู้คนอพยพออกจากระบอบเผด็จการไปสู่ระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม พวกเขาต่างฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า รวมถึงโอกาสครั้งใหม่ที่ดีกว่าเดิม จึงไม่ใช่เรื่องเกินจริง หากพวกเขาจะกลายมาเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติหรือแม้กระทั่งประธานาธิบดี แต่สำหรับชาวเกาหลีเหนือวัย 37 ปีคนนี้ มันเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เพราะเขาคือผู้หลบหนีออกจากเกาหลีเหนือคนที่ 4 ที่กลายมาเป็น สส. ในเกาหลีใต้
“ผมมาถึงเกาหลีใต้แบบตัวเปล่า” เขาบอกกับบีบีซีเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา “และตอนนี้ ผมกำลังเข้าสู่เวทีการเมือง”
“ผมมองว่าทั้งหมดนี้มันคือพลังของเสรีประชาธิปไตยของเรา และผมคิดว่ามันเป็นไปได้เพราะประชาชนของเราทำให้มันเกิดขึ้น มันเป็นทั้งปาฏิหาริย์และคำอวยพร”
นี่เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของความก้าวหน้า ในทัศนะของผู้จับตามองความเคลื่อนไหวของชาวเกาหลีเหนือ
รศ.แซนดรา ฟาหย์ ผู้ศึกษาชีวิตชาวเกาหลีเหนือ จากมหาวิทยาลัยคาร์ลตันในออตโตวา ประเทศแคนาดา บอกว่า “มีชาวเกาหลีเหนือหลายหมื่นคนที่เลิกสนับสนุนการกดขี่ พวกเขาต่อต้านการกดขี่ของระบอบเผด็จการด้วยชีวิตของพวกเขา บางคนแพ้พ่าย แต่ยังมีบางคนที่ยังไม่แพ้ และโลกกำลังได้รับประโยชน์จากพวกเขา”
“ใครจะเข้าใจความสำคัญของการเป็นตัวแทนในระบอบประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมทางการเมือง ได้ดีไปกว่าผู้ที่อยู่อาศัยในโลกที่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งต้องห้าม”
ปาร์ครอดพ้นจากเงื้อมมือของรัฐบาลเกาหลีเหนือเมื่อ 15 ปีก่อน เมื่อเขามีอายุเพียง 23 ปี โดยไม่ได้บอกแผนการให้พ่อแม่รวมถึงสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ รับรู้ เขาบอกว่ามันเสี่ยงเกินไป และหากพวกเขารู้ ก็อาจทำให้ทั้งหมดตกอยู่ในอันตรายได้
เขาใช้เวลา 3 ปีสุดท้ายฝังตัวอยู่ในมหาวิทยาลัยป้องกันอาณาจักร ขณะนั้นปาร์คถูกมองว่าเป็นหนึ่งในนักศึกษาชั้นยอดซึ่งเป็นคนรุ่นต่อไปที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาเทคโนโลยีอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
แม้ว่าจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวง แต่ตัวเขาเองเติบโตขึ้นมาในภาคเหนือของเกาหลีเหนือช่วงปี 1990 ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความอดอยากครั้งใหญ่ของประเทศ มีผู้คนนับล้านเสียชีวิต ส่วนผู้ที่สิ้นหวังต่างหันไปหาสินค้าในตลาดมืด
แต่ตัวปาร์คเองได้สัมผัสกับชีวิตนอกประเทศเมื่อศึกษาอยู่ในประเทศจีน โดยเขาได้รับชมรายการโทรทัศน์ของเกาหลีใต้ซึ่งถูกลักลอบนำเข้ามา ทำให้ตนเองได้เริ่มพิจารณาแนวคิดใหม่ ๆ ภายในหัวของเขา
เขาบอกกับสื่อของเกาหลีใต้ว่า เมื่อตนเองจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เขาก็ตระหนักว่า “ระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือนั้นผิดและคดโกงมากขนาดไหน” ดังนั้น เขาจึงบ่มแผนเอาไว้และรอจังหวะที่เหมาะสม
แล้วโอกาสนั้นก็มาถึงเมื่อเข้าสู่เดือน เม.ย. ปี 2009 ในขณะนั้นเกาหลีเหนือเพิ่งประสบความสำเร็จจากการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปลูกแรกได้ ซึ่งมันเป็นอาวุธที่เขาใช้เวลาสร้างนานนับปี เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้คนทั้งประเทศ “อยู่ในบรรยากาศการเฉลิมฉลอง” เขาเห็นว่านี่คือจังหวะที่เปิดช่องให้เล็ดลอดออกนอกประเทศได้ ปาร์คจึงอาศัยเสียงโห่ร้องยินดีเหล่านั้นช่วยกลบร่องรอยจนสามารถออกจากเกาหลีเหนือได้ในเช้าวันรุ่งขึ้น
การหลบหนีเป็นอีกบทพิสูจน์อันทารุณของชีวิต เขาเลือกเดินทางออกไปจีนซึ่งเป็นเส้นทางที่เร็วกว่าแต่มีค่าใช้จ่ายแพงมากถึง 7,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 250,000 บาท) เพื่อแลกมากับหนังสือเดินทางปลอมอันแสนห่วยที่ทางนายหน้าจัดหามาให้
แต่ในการให้สัมภาษณ์กับ NK NEWS ปีที่แล้ว เขาระลึกถึงความทรงจำช่วงนั้นและบอกว่าตนเองรู้สึกได้ว่าอาจได้รับอิสระแล้ว เมื่อตระหนักว่าได้เดินทางมาถึงแม่น้ำทูมันทางฝั่งจีน โดยเขามีความรู้สึกทั้งอิสระและสูญเสียในเวลาเดียวกัน และทำให้รู้สึกว่าตนเองเป็น “เด็กกำพร้านานาชาติ”
ยุน ซอกยอล ประธานาธิบดีเกาหลีใต้
อีกช่วงหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาเกิดขึ้นในเวลาต่อมา เมื่อได้รับหนังสือเดินทางเกาหลีใต้ มันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของเขา
เมื่อเทียบกับผู้แปรพักตร์คนอื่น ๆ จากทางเหนือซึ่งมีจำนวนประมาณ 35,000 คน ที่เข้ามาตั้งรกรากในเกาหลีใต้ตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ถือว่าปาร์คปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ของเขาได้อย่างรวดเร็ว ด้วยภูมิหลังของเขาที่มาจากครอบครัวชนชั้นนำและการศึกษาชั้นยอดของเขา
ปาร์คได้รับการยอมรับให้เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศ นั่นคือ มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ทำให้เขาได้รับปริญญาเอกสาขาวัสดุศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ต่อมาได้เข้าทำงานในบริษัทฮุนได สตีล ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานที่ทุกคนหมายปองและเป็นกลุ่มบริษัทที่มีอิทธิพลอย่างมากในเกาหลีใต้ จากนั้นไม่นาน พรรคของประธานาธิบดีก็มาเคาะประตูบ้านของเขา และเชิญชวนให้ลงการเมือง
ปาร์คบอกกับบีบีซีว่า ตนเองไม่เคยคิดเข้าสู่การเมือง แต่เมื่อพรรคพลังประชาชนหรือพีพีพี (People Power Party – PPP) ติดต่อเข้ามา ก็รู้สึกว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบแทนสังคม
คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เพิ่งตราหน้าว่าเกาหลีใต้เป็นรัฐศัตรู
ในฐานะผู้แทนหมายเลข 2 ในบัญชีรายชื่อผู้สมัครของพรรครัฐบาล เขาเพิ่งได้รับการการันตีเก้าอี้ สส. ในการเลือกตั้งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของคะแนนเสียงที่ได้ในรอบนี้ถือว่าแย่มากสำหรับประธานาธิบดี ยุน ซอกยอล ซึ่งไม่เป็นที่นิยมของประชาชนอีกต่อไป รวมถึงพรรคของเขา
แต่ปาร์คเองกำลังก้าวไปข้างหน้าและมีแผนการที่ใหญ่กว่านั้น ขณะนี้เขาได้รับเลือกเป็น สส. ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยก่อนหน้านี้พบว่ารัฐสภาของเกาหลีใต้มี สส. เป็นชาวเกาหลีเหนือมาแล้ว 2 คนแล้ว ซึ่งทั้งคู่มีโปรไฟล์เป็นบุคคลสำคัญ เช่น แท ยงโฮ ซึ่งเป็นผู้แทนจากย่านหรูของเขตกังนัม รวมทั้งยังเคยเป็นเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำสหราชอาณาจักร และตัดสินใจแปรพักตร์เมื่อสมัยดำรงตำแหน่งที่ลอนดอนในปี 2016
อีกคนคือนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิชื่อว่า จี ซึงโฮ เขาเสียแขนและขาซ้ายไปตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นในปี 1996 เมื่อเขาและครอบครัวที่หิวโหยกำลังขโมยถ่านหินจากรถไฟ โดยเขาเป็นลมและตกลงไปในช่องว่างระหว่างตู้รถไฟ ล้อรถไฟทับขาขาด ต่อมาเขาหลบหนีจากเกาหลีเหนือด้วยไม้ค้ำยืน
ผู้แทนเหล่านี้พยายามปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของผู้แปรพักตร์ให้ดีขึ้น เนื่องจากหลายคนบอกว่าถึงแม้พวกเขามีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าในเกาหลีใต้ แต่ลึก ๆ แล้วยังรู้สึกว่าตนเองถูกปฏิบัติราวกับเป็นพลเมืองชั้นสองของประเทศ
นั่นจึงผลักดันให้จีลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 2020 โดยรณรงค์หาเสียงเรื่องสิทธิของชาวเกาหลีเหนือ หลังจากมีกรณีผู้แปรพักตร์ถูกส่งกลับไปยังเกาหลีเหนือ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าลักลอบขนของเถื่อน
หนึ่งปีก่อนหน้านี้ แม่และลูกสาวชาวเกาหลีเหนือที่ยากจนถูกพบเสียชีวิตในอพาร์ทเมนท์กลางกรุงโซล โดยมีรายงานว่าอดอาหารตาย
ปาร์คกล่าวว่าหนึ่งในเป้าหมายของเขาคือการปรับปรุงความช่วยเหลือที่มีให้ชาวเกาหลีเหนือ เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเกาหลีใต้ และเขาพยายามผลักดันให้มันเป็นการช่วยเหลือตลอดอายุขัย โดยปาร์คกล่าวว่าตั้งแต่เกิดโรคระบาดขึ้นทำให้การอพยพของผู้มาใหม่หยุดชะงักลง ดังนั้นควรมีการจัดสรรงบประมาณด้านนี้ขึ้นมาใหม่
ส่วนตัวแล้วเขายังต้องการทิ้งรอยประทับไว้ในนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีด้วย โดยตัวเขาเองสนับสนุนท่าทีอันแข็งกร้าวของประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่างเต็มที่ในการจัดการกับคิม จองอึน และการยั่วยุด้วยขีปนาวุธที่เพิ่มขึ้นของเขา
ในขณะที่บางคนบอกว่าเกาหลีเหนือมีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อท่าทีของประธานาธิบดียุนที่ใฝ่หาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น แต่ปาร์คกลับปฏิเสธทฤษฎีดังกล่าว
“บางคนคิดว่าภัยคุกคามสงครามเพิ่มขึ้นตั้งแต่มีรัฐบาลที่นำโดยยุน แต่มันไม่จริง การยั่วยุนั้นแข็งแกร่งขึ้นภายใต้ทีมบริหารประเทศก่อนหน้านี้” เขาบอกกับบีบีซี
ปาร์คชี้ว่าการยิงขีปนาวุธและการพัฒนาอาวุธของเกาหลีเหนือนั้นเพิ่มมากขึ้นในช่วงการบริหารของประธานาธิบดีมุน แจอิน ซึ่งพยายามหาแนวทางที่ประนีประนอมมากขึ้นในการมีส่วนร่วมกับเกาหลีเหรือ แต่เขาเห็นว่าไม่ควรดำเนินการด้วยท่าทีเอาอกเอาใจอีกฝ่าย โดยปาร์คโต้ว่า “การปิดกั้นการยั่วยุของเกาหลีเหนือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และนั่นจะนำไปสู่การลดภัยคุกคามจากสงคราม”
เขาเชื่อว่าในที่สุดแล้วจะเกิดการรวมตัวระหว่างสองฝั่งคาบสมุทรขึ้น แม้ว่าในปีนี้ทางคิม จองอึน เพิ่งตราหน้าว่าเกาหลีใต้เป็นรัฐศัตรู และมีรายงานว่าเขาจะระเบิดซุ้มประตูขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสองเกาหลีที่จะมารวมกันในอนาคต
ปาร์คเองไม่ได้สิ้นหวัง เขามุ่งมั่นที่จะ “มีบทบาทเป็นสะพานเชื่อม” ในรัฐบาลเกาหลีใต้
“ผมต้องการช่วยให้ชาวเกาหลีใต้มองระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือและคนเกาหลีเหนือแยกออกจากกัน เพื่อส่งเสริมความคิดที่เอื้อต่อการรวมกันเป็นหนึ่งเดียว”
https://www.bbc.com/thai/articles/cljdk4weeryo